1. หลีกเลี่ยงอาหารและสารกระตุ้นที่เป็นอันตราย

เด็กที่มีภาวะพร่องเอนไซม์ G6PD อาจเกิดอาการเม็ดเลือดแดงแตกได้เมื่อได้รับสารกระตุ้นบางชนิด ซึ่งรวมถึง:

• ถั่วปากอ้า เป็นอาหารที่ต้องหลีกเลี่ยงโดยเด็ดขาด เพราะอาจกระตุ้นให้เกิดภาวะเม็ดเลือดแดงแตกได้

• ผลิตภัณฑ์จากถั่วปากอ้า เช่น แป้งหรือสารสกัดที่ใช้ในอาหารบางชนิด

• สารแนฟทาลีน ซึ่งพบในลูกเหม็นหรือผลิตภัณฑ์กำจัดแมลง

• อาหารและสารเคมีที่มีสารออกซิเดชันสูง เช่น อาหารที่มีสารกันบูดสูงหรือสีผสมอาหารบางชนิด

2. หลีกเลี่ยงยาที่ไม่ปลอดภัย

ยาบางชนิดอาจกระตุ้นให้เกิดภาวะเม็ดเลือดแดงแตกในเด็กที่มีภาวะ G6PD ได้แก่:

• ยากลุ่มซัลฟา เช่น ยาปฏิชีวนะบางชนิด

• ยาต้านมาลาเรีย

• ยาแก้ปวดบางประเภท เช่น แอสไพริน

• ยาแก้ไข้ที่มีส่วนผสมของวิตามินซีในปริมาณสูง

หากลูกต้องได้รับยาใด ๆ ควรแจ้งแพทย์และเภสัชกรเสมอว่าลูกมีภาวะ G6PD เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อน

3. ป้องกันการติดเชื้อ

การติดเชื้อสามารถกระตุ้นให้เกิดภาวะเม็ดเลือดแดงแตกได้ คุณแม่ควรป้องกันโดย:

• ดูแลสุขอนามัยของลูกน้อยให้ดี

• หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับผู้ป่วยที่มีไข้หวัดหรือโรคติดเชื้อง่าย

• ฉีดวัคซีนให้ครบตามกำหนด

4. สังเกตอาการผิดปกติ

หากลูกมีภาวะเม็ดเลือดแดงแตก จะสังเกตได้จากอาการ เช่น:

• ตัวเหลือง ตาเหลือง

• ซีด อ่อนเพลีย

• ปัสสาวะสีเข้มคล้ายโคล่า

• หายใจเร็วหรือเหนื่อยง่าย

หากพบอาการเหล่านี้ควรรีบพาลูกไปพบแพทย์ทันที

5. ให้ลูกได้รับสารอาหารที่เหมาะสม

แม้ว่าเด็กที่มีภาวะ G6PD จะต้องหลีกเลี่ยงอาหารบางชนิด แต่ก็ยังสามารถได้รับสารอาหารที่เหมาะสมโดย:

• ให้ลูกทานอาหารที่มีธาตุเหล็กสูง เช่น ผักใบเขียว เนื้อสัตว์ ไข่

• ดื่มน้ำให้เพียงพอเพื่อช่วยขับของเสียออกจากร่างกาย

• หลีกเลี่ยงอาหารที่มีสารกันบูดและสีผสมอาหารที่ไม่ปลอดภัย

6. แจ้งให้โรงเรียนและคนรอบข้างทราบ

คุณแม่ควรแจ้งให้คุณครูหรือผู้ดูแลเด็กทราบเกี่ยวกับภาวะของลูก เพื่อให้พวกเขาสามารถช่วยดูแลและหลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้นที่อาจเป็นอันตรายต่อเด็ก